ภาพที่ปรากฎและเห็นกันประจักษ์ชัดทางการเมืองวันนี้ คือ ภาพจริงของรัฐบาลที่บริหารไม่เป็น รับมือกับสถานการณ์วิกฤติทางสุขภาพไม่ทั่วถึง เป็นธรรม ไม่มีแผนการจัดการกับระบบฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับมหภาคและระดับกลุ่มอาชีพ กลุ่มแรงงานอย่างทันการ ภาพรวมที่เห็นคือขาดการวางแผนแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และหมกมุ่นอยู่กับการสร้างภาพ
“วัคซีนคือทางออก และทางรอด” …
ระยะนี้ ข่าวที่เห็นตามสื่อมวลชน คือการประชาสัมพันธ์สร้างภาพ เรื่องการกำหนดวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าหมายปูพรมฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วประเทศ แต่ความเป็นจริงคือจัดการวัคซีนได้ไม่เพียงพอ หลายหน่วยงานประกาศเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปกระทันหันหลังวันดีเดย์ของรัฐบาลไม่ถึงสัปดาห์ ทั้งที่เปิดการจองผ่านสารพัดแอพพลิเคชันมาแล้วล่วงหน้าหลายเดือน
ภาพที่ปรากฎบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเห็นผลอย่างเป็นจริง คือ การประกาศว่ารัฐจัดหาวัคซีนทางเลือกอื่นๆไว้แล้วแต่ไม่มีการกำหนดเวลาที่เป็นจริง การยิ่งสร้างภาพด้วยวาจาของรัฐบาลกลายเป็นมายาภาพที่เชื่อไม่ได้ไปแล้วในสายตาประชาชน
รัฐบาลพยายามจะสื่อสารสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น แต่ รัฐบาลไม่เข้าใจว่า ความมั่นใจ ต้องเกิดจากการกระทำให้ทุกคนเห็น หาใช่การสร้างภาพ ให้ข้อมูลความหวัง แต่การกระทำตรงข้าม… คนก็จะยิ่งไม่มั่นใจและขาดความไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้นทุกที
เมื่อประสานกับการตอบคำถามของผู้นำรัฐบาลในสภาฯที่ผ่านมา ก็ยิ่งสะท้อนถึงการไร้ความสามารถของ”ผู้นำ”ถึงศักยภาพในการพาประชาชนฝ่าวิกฤติ การตอบคำถามสำคัญๆ ที่รัฐบาล…ถูกพรรคร่วม ฝ่ายค้านและส.ส. ในสภาฯไต่สวนและตรวจสอบ ผู้นำรัฐบาลที่ถนัดสร้างภาพกลับแสดงออกอย่างไร้วุฒิภาวะด้วยการแสดงความฉุนเฉียว ไม่พอใจ และแสดงอำนาจข่มขู่คุกคาม “ตัวแทนประชาชนในสภา” เหมือนที่ “ผู้นำ” กระทำในช่วงการอภิปรายงบฯ และการตอบคำถาม เรื่อง “ทำไมต้องกู้ “ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
……จึงไม่น่าแปลกใจว่าแต่ละครั้งที่ปรากฎตัวกลับเป็นทุกครั้งที่ตอกย้ำภาพผู้นำที่ไร้ศักยภาพขาดวุฒิภาวะ ถนัดแต่พูดก่นด่า ตำหนิผู้คนไปทั่ว และไม่เคยตอบคำถามเชิงเหตุผล ไม่เคยสร้างความหวังแม้เพียงเล็กน้อยให้ประชาชนรู้สึกไว้วางใจ
สถานการณ์ของผู้นำรัฐบาลเป็นเช่นนี้ซ้ำซ้อนและซ้ำซากมาโดยตลอดกระแสข่าว วิจารณ์หนัก …ว่าหาก ”ผู้นำและรัฐบาล”เดินหน้า ต่อไปในรูปการณ์เก่าแบบเดิมๆ จะยิ่งยากลำบาก แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
เร็วสุด…หลายฝ่าย วิจารณ์ว่า
หากไม่สามารถประคับ ประคอง และคลี่คลาย วิกฤติที่ประชาชนคาดหวังและสามารถยอมรับได้ จะส่งผล ให้เกิดปรากฎการณ์”คอนเวิร์ส : ตัวใคร ตัวมัน” ในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล
……การยุบสภาอาจเกิดขึ้นหลังครบ 105 วันในการพิจารณางบเสร็จ… หรือการยุบสภาอาจเกิดขึ้นหลัง กันยายน ปี 2564…ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่ายากมาก และยังเชื่อว่าแม้จะไม่ราบรื่นแต่พรรคร่วมรัฐบาลก็จะยังคงพยายามประคับประคองผลประโยชน์ของทุกฝ่ายต่อไปจนถึงที่สุด
ผมเชื่อว่า สิ่งที่เป็นไปได้ที่สุด คือ……รัฐบาลจะพยายามประคองให้ผ่านงบไป อย่างน้อยรัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณอย่างน้อยสัก 3เดือน หรือ90วัน (เพื่อให้งบประมาณได้เริ่มใช้)
และต้องพยายามแก้รธน.รายมาตรา ที่จะทำให้พวกเขาได้ประโยชน์สูงสุด
การยุบสภา…จึงอาจจะเกิดขึ้น เร็วที่สุดคือ…ในช่วงไตรมาสแรกของปีปฏิทิน 2565(มกราคม-มีนาคม 2565)
ซึ่งน่าจะเป็น ช่วงเวลาที่เป็นไปได้มากที่สุด และเหมาะสมที่สุด ที่ฝ่ายรัฐบาล ต้องการ
อย่างไร ก็ดี…เงื่อนไขสำคัญอันหนึ่ง ก่อนยุบสภา คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายรัฐบาลต้องการทำให้เร็วที่สุดก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง คือการแก้รธน. เป็นรายมาตรา โดยเลือกแก้ในสาระที่รัฐบาลจะได้เปรียบและเกิดประโยชน์สูงสุดในตอนเลือกตั้ง
ถ้าจะแก้บ้างเป็นรายมาตรา เพื่อหวังให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่ฝ่ายตน…
พป.ชร.อาจต้องการแก้รายมาตราโดยเฉพาะเรื่องแก้ระบบเลือกตั้ง โดยใช้บัตร 2ใบ…ที่พป.ชร.เชื่อว่าตนจะได้ประโยชน์สูงสุด และเกิดประโยชน์ต่อพรรคใหญ่
(ซึ่งปัจจุบัน…”พป.ชร” ค่อนข้างมั่นใจในอำนาจและกำลังเงินของตน สูงสุด และมากที่สุด)
ความจริงการแก้รธน.เป็นรายมาตรา
เป็นเรื่องที่อาจเห็นผลสำเร็จได้ง่ายและชัดเจนที่สุด
และการแก้ไขระบบเลือกตั้ง ให้ เป็นบัตร 2 ใบ…ก็เป็นสิ่งที่พอมีเหตุผลยอมรับฟังกันได้คือ
•การใช้บัตร 2ใบ เป็นไปตามหลัก ……”เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ”
ซึ่งคนไทยคุ้นเคยและยอมรับว่าสะท้อนวิธีการเลือกผู้แทนที่ได้ตรงกับใจ ประชาชนที่อยากเลือกมากที่สุด
•การเลือกโดยใช้บัตร 2 ใบ เป็นการสะท้อนการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบพรรคการเมือง มีความเข้มแข็งมากขึ้นและดีขึ้นกว่าระบบบัตรใบเดียวที่สร้างสภาวะ เบี้ยหัวแตกให้เกิดพรรคเล็ก พรรคน้อยเต็มไปหมด อันนำมาซึ่งความไร้เสถียรภาพทางการเมืองให้เกิดขึ้น ในระบบการเมืองปัจจุบัน
อีกประเด็นสำคัญ ในการแก้รายมาตรา คือ การแก้ไขรธน.
เพื่อเพิ่มและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลายเรื่องที่ขาดหายไป และการตัดทอน หรือการลดอำนาจ สมาชิกวุฒิสภาลง
ไม่ให้มีบทเฉพาะกาล …ที่นำมาใช้เลือกนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อลดทอนการสืบต่ออำนาจของรัฐบาลประยุทธ และพวก ”คสช.”
ทั้งนี้ถือเป็นการ แก้ไขปัญหาเรื่องการจัดสมดุลแห่งอำนาจของฏฎหมายรัฐธรรมนูญให้ลงตัวและ ได้ดุลมากขี้น
ส่วนประเด็นเรื่อง…การแก้ไข เพื่อปฎิรูปที่มาของอำนาจตรวจสอบ โดยการยกเลิกศาลรธน.และระบบองค์กรอิสระเช่นในปัจจุบัน / การยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฎิรูปประเทศ เพื่อปลด โซ่ตรวนอนาคตของประเทศ และการล้างมรดกบาป ของการรัฐประหารที่เกิดขึ้น เพื่อหยุดวงจรอุบาทว์ในการทำลายระบอบประชาธิปไตย ให้ยุติลง
ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง นำเสนอให้สังคมและฝ่ายประชาธิปไตยได้ช่วยกันจัดการหาทางออกต่อไป
รำลึก 24 มิถุนายน 2564 จึงเป็นการรำลึก 89 ปี…ของการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย และผมเชื่อว่าพลังฝ่ายประชาธิปไตยจะยังคงขยายกำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ อันเป็นสถานการณ์ผกผันกับรัฐบาลสร้างภาพที่กำลังตกต่ำทุกขณะเช่นกัน
ภูมิธรรม เวชยชัย
ที่ปรึกษา หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เลขานุการ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร
14 มิถุนายน 2564
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น