(26 พฤษภาคม 2564) นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม และ คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าครบรอบ 7 ปีการปฏิวัติ ประเทศย่ำแย่ทุกด้านโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ พลเอกประยุทธ์ ใช้งบประมาณแล้ว 20.8 ล้านล้านบาท และจะใช้งบประมาณปี 2565 อีก 3.1 ล้านล้านบาท โดยจะกู้ชดเชยงบประมาณถึง 7 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีการกู้อีก 5 แสนล้านเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งแต่แรกจะกู้ 7 แสนล้านบาท แต่พอถูกตำหนิจากทุกฝ่ายอย่างมากตามฉายา “ดีแต่กู้” จึงต้องลดลงมาเหลือ 5 แสนล้าน แต่ก็ยังมาก และการเก็บรายได้ปีนี้จะไม่ได้ตามคาดหมายอีกกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะทะลุ 9 ล้านล้านบาท และในปีนี้อย่างไรหนี้สาธารณะก็จะพุ่งทะลุเกิน 60% ของจีดีพี เพราะพลเอกประยุทธ์ รู้แต่จะกู้แต่ไม่รู้จักการหารายได้ หนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหนี้ล้นได้ อีกทั้งหนี้ครัวเรือนก็พุ่งทะลุเกิน 90% แล้ว หนี้เสียธนาคารก็เพิ่มมากขึ้น โดยที่การบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หนี้เต็มไปหมด แต่ไม่เห็นทางออกของประเทศที่จะพัฒนาต่อไปได้เลย
7 ปี ที่ผ่านมา เรื่องที่เสียดายที่สุดคือการเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ หากพรรคเพื่อไทยยังบริหารประเทศ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะสามารถพัฒนาประเทศได้ดีกว่านี้มาก โครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะได้พัฒนาในหลายด้าน โดยเฉพาะทางคมนาคม และการศึกษา โดยที่หนี้สาธารณะก็จะไม่เพิ่มมากขนาดนี้ และในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฏรจังหวัดหนองคาย เรื่องที่เสียดายที่สุด คือโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมต่อไปถึงจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะพัฒนาจังหวัดหนองคายไปได้อีกมาก ทั้งการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งหากได้มีการก่อสร้างให้แล้วเสร็จก็จะเชื่อมต่อกับเส้นทาง ลาว-จีน ที่จะเสร็จในเดือนธันวาคม 2564 ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการค้าที่จะเกิดขึ้น มูลค่าจากการท่องเที่ยวซึ่งหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ นักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเป็นอันดับ 1 ของไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ที่ต้องการท่องเที่ยวในเส้นทางนี้ ไปจนถึงการดึงเอานักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศเอง ถือว่าเรากำลังเสียโอกาสจำนวนมหาศาล ซึ่งจากแผนการของรัฐบาลปัจจุบัน โครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2572 ซึ่งช้าไปถึง 9 ปี
นอกจากนี้ อยากจะแนะนำให้พลเอกประยุทธ์
ได้พัฒนาการค้าชายแดนให้มีการพัฒนาขึ้น โดยอยากให้ข้อมูลดังนี้
ด่านศุลกากรหนองคายระบุว่า ในปีงบประมาณ 2562 ด่านศุลกากรหนองคายมียอดมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทยกับ
สปป.ลาว รวม 64,910.74 ล้านบาท เทียบกับปีงบประมาณ 2561
ที่มีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก รวม 60,474.070 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นถึง 4,436.67
ล้านบาท โดยแยกเป็นมูลค่าการส่งออก 55,326.684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ
2561 ถึง 3,670.638 ล้านบาท และนำเข้าจาก สปป.ลาว 9,584.056 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 เพียง 766.032 ล้านบาท ซึ่งในปีงบประมาณ 2561
มีมูลค่ารวม 60,474.070 ล้านบาท แยกเป็นมูลค่าส่งออก 51,656.046 ล้านบาท
และนำเข้าจาก สปป.ลาว 8,818.024 ล้านบาท แต่ผลกระทบของโควิด-19 จากข้อมูลของด่านศุลกากรหนองคายยังพบอีกว่า
หลังจากที่จังหวัดหนองคายและ สปป.ลาวได้ปิดจุดผ่อนปรนและจุดผ่านแดนชั่วคราว
รวมไปถึงด่านท่าเรือหายโศกในเขตเทศบาลเมืองหนองคายมาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563
ห้ามการผ่านเข้า-ออกทั้งรถทั้งคน รวมไปถึงห้ามขนส่งสินค้า ทำให้รถขนส่งสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 20%
และวันที่มีรถขนส่งสินค้ามากที่สุด คือ วันจันทร์และวันศุกร์ มีจำนวน 600-700 คัน
ส่วนในวันธรรมดาจะมีจำนวน 30-400 คัน แต่ถึงแม้ตัวเลขรถขนส่งจะเพิ่มขึ้น
แต่นั่นหมายความว่าธุรกิจ SME และร้านค้าที่เคยมีคนลาวข้ามมาซื้อของ
ตอนนี้เท่ากับไม่มีเลย เพราะไม่สามารถข้ามได้ หลายรายต้องปิดตัวลง
เพราะจ่ายค่าเช่าไม่ไหว
บางรายต้องหาช่องทางอื่นในการเพิ่มรายได้เพื่อประคองจนกว่าสถาณการณ์จะกลับมาเป็นปกติ
ดังนั้นหากพลเอกประยุทธ์ สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้
และหันมาเร่งพัฒนาการค้าชายแดนทั้งหมดให้คล่องตัว ไม่ใช่แต่เฉพาะที่จังหวัดหนองคาย
ก็จะช่วยพัฒนาและฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้
และการค้าชายแดนในอนาคตจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงการค้าขายระหว่างประเทศในอาเซียนด้วย
ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีการค้าระหว่างกันถึง 40% ของการส่งออกทั้งหมด
ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะมุ่งเน้นนโยบายการค้าชายแดน และ
การค้าระหว่างอาเซียนนี้เป็นนโยบายเศรษฐกิจหลักที่จะนำมาพัฒนาประเทศ
หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารประเทศ
7 ปีของการปฏิวัติ ข้อมูลข่าวสารเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลมีมากมาย แต่ความเสียหายที่มากกว่าการทุจริตคอรัปชั่นคือ การเสียโอกาสของประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ที่ขาดความรู้ความสามารถและขาดวิสัยทัศน์ ได้ทำให้ประเทศไทยเสียดายและเสียโอกาสไปอย่างมาก และหากพลเอกประยุทธ์ ยังคงดื้อรั้นที่จะบริหารประเทศอยู่ ประเทศไทยก็จะเสียโอกาสไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะทำให้ประเทศไทยพัฒนารั้งท้ายในอาเซียนควบคู่ไปกับมินอ่องลาย เผด็จการทหารของประเทศเมียนมาร์ที่มีข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ ติดต่อกันลับหลังตลอด จนทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศเมียนมาร์และมีโอกาสที่จะพัฒนารั้งท้ายคู่กันถ้าพลเอกประยุทธ์ ยังไม่ยอมวางมือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น