02 ธ.ค.2564
- นายไพศาล พืชมงคล
อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
โพสต์เฟซบุ๊กในสหัวข้อ “ทักษิณไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์กรือเซะ!!!” ระบุว่า
นักการเมืองมุสลิมทางใต้มาหารือ เกี่ยวกับการย้ายพรรคไปอยู่พรรคเพื่อไทย
แต่ติดขัดด้วยพี่น้องมุสลิมภาคใต้ยังติดใจกรณีสังหารที่กรือเซะ
จึงบอกท่านว่าเป็นความเข้าใจผิด
คุณทักษิณไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องเหตุการณ์สังหารที่กรือเซะเลย
แถมไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป จึงถือโอกาสเล่าเหตุการณ์กรือเซะให้ฟังว่า
1. เหตุการณ์กรือเซะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากกรณีที่ผู้ก่อความไม่สงบระดมกำลังระดับ
2 กองพัน
เคลื่อนมาตามถนนสายหลักและแยกเข้าโจมตีสถานีตำรวจ สถานที่ราชการ
และฐานปฏิบัติการของฝ่ายรัฐบาลหลายจุดพร้อมกัน แต่ถอนกำลังกลับไม่ทัน
บางส่วนถูกกองกำลังของรัฐบาลล้อมไว้ที่บริเวณมัสยิดกรือเซะ และผู้ก่อความไม่สงบหลบเข้าไปอยู่ในมัสยิดนั้น
2.ครั้งนั้นลุงจิ๋วเป็นรองนายกฝ่ายความมั่นคงจึงเป็นผู้อำนวยการสถานการณ์
และได้มอบให้พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งรับผิดชอบ กอ.รมน. เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์
โดยพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี ลงไปบัญชาการด้วยตนเองตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งสองฝ่ายตรึงกำลังกันโดยฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในมัสยิด
ในขณะที่กองกำลังรัฐบาลล้อมอยู่โดยรอบ โดยมีประชาชนมุงดูเต็มไปหมด
3.ลุงจิ๋วมอบนโยบายให้หาทางปรองดองโดยการเจรจากัน
ถึงขนาดสั่งการว่าถ้าผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดหิวน้ำก็ให้ส่งน้ำไปให้
หิวข้าวก็ให้ส่งข้าวไปให้ ต้องการพบพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ให้ช่วยตามไปพบ
และให้อำนวยความสะดวกทุกอย่าง เพียงขอให้เจรจาและมอบตัวเพื่อปรองดองกันต่อไป
ซึ่งเป็นวิธีการที่ลุงจิ๋วแกถนัด
4.พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี
ผู้บัญชาการสถานการณ์ก็ปฏิบัติตามนโยบายนั้นอย่างเต็มที่
สร้างความชื่นอกชื่นใจให้แก่ประชาชน
แม้สื่อต่างประเทศที่ไปทำข่าวก็ชื่นชมเป็นอันมาก
แต่จนเวลาบ่ายคล้อยก็ไม่เป็นที่ตกลงกัน
5.ครั้นเวลาประมาณ 16.น.
การข่าวของกองทัพภาคที่ 4 ทราบว่าฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบกำลังระดมกำลังจากหลายพื้นที่เพื่อเตรียมเข้าโจมตีกองกำลังของรัฐบาลที่ล้อมมัสยิดกรือเซะนั้น
พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี
ทราบรายงานข่าวแล้วเห็นว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก็จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ทั้งทหาร เจ้าหน้าที่และประชาชน จึงใช้อำนาจของผู้บัญชาการสถานการณ์ยื่นคำขาดให้ผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดมอบตัวภายใน
30 นาที มิฉะนั้นจะบุกเข้าจับกุม
แต่ผู้ก่อความไม่สงบไม่ยอมมอบตัว จึงมีการบุกเข้าไปในมัสยิดและเกิดการต่อสู้กัน
เป็นเหตุให้ผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดเสียชีวิตทั้งหมด
6.ผู้นำศาสนาในพื้นที่ระดับตำบลได้ออกคำวินิจฉัยทางศาสนาหรือคำฟัตตวาว่าเป็นเหตุการณ์ที่เป็นสงครามทางศาสนาหรือ"จีฮัด"
ดังนั้นผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดที่เสียชีวิตทั้งหมดมีฐานะเป็นนักบุญหรือ"ชาฮีด"ให้ทำการฝังศพได้โดยไม่ต้องอาบน้ำศพ
เพราะถือว่าเลือดของนักบุญหรือชาฮีดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำ
ถ้าหากคำวินิจฉัยเช่นนั้นมีผลต่อไปก็จะทำให้บรรดาประเทศมุสลิมทั้งหลายเข้าช่วยเหลือฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบนั้น
7.ลุงจิ๋วแกเป็นคนรู้เรื่องรู้ราวและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ดังนั้นจึงมีการประสานงานให้ผู้นำสูงสุดของมุสลิมชีอะห์แห่งอาเซียนคือท่านฮุจลตุลอิสลาม
ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ซึ่งมีศักดิ์ทางศาสนาสูงกว่าผู้นำท้องถิ่นมาก
เพื่อพิจารณาเรื่องนี้มิให้มีการบิดเบือนหลักศาสนามาใช้โดยไม่ถูกต้อง
หลังจากมีการตรวจสอบไต่สวนตามหลักศาสนาแล้ว ท่านผู้นำสูงสุดอาเซียนได้ออก
"คำฟัตตวา" ว่า การต่อสู้และการเสียชีวิตไม่ใช่จีฮัดและไม่ใช่ชาฮีด
อันเป็นการออกคำฟัตตวาลบล้างคำฟัตตวาระดับท้องถิ่น
จึงทำให้ไม่เกิดเป็นปัญหาระหว่างไทยกับประเทศอิสลามทั่วโลก
8.เรื่องนี้คุณทักษิณแกไม่เกี่ยวข้อง
ไม่รู้เรื่อง การใส่ร้ายเรื่องนี้แก่คุณทักษิณจึงไม่เป็นธรรม
และไม่เป็นผลดีแก่ใครเลย ความจริงเรื่องนี้ก็ถึงเวลาเปิดเผยแล้ว
จึงต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้ได้ทราบและเข้าใจทั่วกัน.
ขอขอบคุณ เครดิต
ที่มา : https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/photos/a.481669931931684/4504078549690782/
และ https://today.line.me/th/v2/article/BErMQVn?utm_source=lineshare